วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ตัวอย่างภาพยนตร์สั้น


อ้างอิง
https://www.youtube.com/watch?v=ujHPbozdF1Y

เทคนิคการถ่ายวีดีโอ


ปัจจุบันกล้องวีดีโอมีอยู่หลายประเภท เช่น แบบ Handycam(กล้องขนาดเล็ก)  กล้องแบบมืออาชีพ(ขนาดใหญ่) แต่หลักการและเทคนิคการถ่ายจะเหมือนๆกัน

ก่อนอื่นเรามาทราบถึงประเภทของสื่อที่ใช้บันทึกภาพของกล้องวีดีโอก่อนว่าปัจจุบันมีอยู่กี่แบบ

1.แบบใช้ม้วนเทป  ปัจจุบันเหลือเพียง miniDV   เป็นส่วนใหญ่

2.แบบใช้แผ่น  ซึ่งจะใช้แผ่น mini DVD เป็นตัวเก็บข้อมูล

3.แบบใช้ Hard Disk ปัจจุบันมีให้เลือกหลายขนาดของความจุ เช่น 30 GB, 60 GB ต้น

4.แบบใช้ Memory card  เช่น SD,  Memory Stick, XDcard  เป็นต้น

     เทคนิคการถ่าย

1. อย่าถ่ายแช่นานเกินไป

2.อย่ายกกล้องไปมาแทนสายตา

3.ถ้าเหตุการณ์นั้นยังไม่สิ้นสุด อย่าหยุดถ่ายกลางคัน

4.อย่าZoom หรือ Pan ขณะถ่าย บ่อยเกินไป

5.หาจุดจบที่ทำให้สนใจ

6.พยายามมองหาจุดที่น่าสนใจรอบๆตัวเพื่อจะได้ไม่พลาดเหตุการณ์สำคัญ

หลักการง่ายๆแค่นี้ ท่านก็จะได้ภาพที่ดูดี ระดับมืออาชีพแล้ว

7. ถือกล้องให้นิ่ง อย่าสั่น เทคนิคง่ายๆคือกลั้นหายใจ หรือหายใจเบาๆ ขณะที่กด record

อ้างอิง
http://samforkner.org/source/dirshortfilm.html

ขั้นตอนในการถ่ายภาพยนตร์สั้น


ขั้นที่1  หาองค์ประกอบด้านวิธีการ คือ หลักการ การวางแผน การถ่ายทำ

การตัดต่อ การประเมินผล

ขึ้นที่2   หาองค์ประกอบด้านบุคลากร คือ บุคลากรในหน้าที่ต่างๆตั้งแต่ ตัวละคร บุคคลทางเทคนิค รวมไปถึง ผู้มีความสามารถเฉพาะครับ จะดีมากๆ และอีกอย่างคือทีมเวิคครับ

ขั้นที่3   เตรียมการผลิต คือ วางแผน เตรียมสถานที่ บท อุปกรณ์ ให้ครบ

ขั้นที่4    บทหนัง คือ วางบท คำพูด ระยะเวลาสถานที่ เรื่องราว ที่จะสื่อออกมา

เรื่องบทนี้จะมี หลายแบบ

– บทแบบสมบูรณ์  ประมาณว่า เก็บทุกรายละเอียดทุกคำพูดครับ

– บทแบบอย่างย่อ ประมาณว่า เปิดกว้างๆให้ผู้ชมสังเกตในความเข้าใจของตนเอง

– บทแบบเฉพาะ

– บทแบบร่างกำหนด

ขั้นที่5    การผลิต อย่างแรกเลย แต่ละฉากคุณต้องเลือกมุมกล้องให้เหมาะสม กับสภาพอากาศ ขนาดวัตถุ ว่าควรเห็นแค่ไหน  ขนาดมุมกล้องมีหลายแบบนะเยอะมาก ผมพูดรวมๆละกัน มีแบบ ระยะไกลมาก ระยะไกล ระยะปานกลาง ระยะใกล้

ขั้นที่6   ค้นหามุมกล้อง

– มุมคนดู ประมาณว่า เป็นมุมถ่ายจากรอบนอกของฉากนั้นๆครับ เหมือนผู้ชมเป็นคนสังเกตฉากนั้นๆ

– มุมแทนสายตา

– มุมพ้อยออฟวิว มุมนี้แนะนำให้ใช้เยอะๆครับ สวยมากมุมนี้ในการทำหนัง เป็นมุมที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ครับ เช่น การถ่ายข้ามไหล่ของตัวละคร หรือวัตถุ ครับ



ขั้นที่7   การเคลื่อนไหวของกล้อง

– การแพน การทิลท์ ประมาณว่า การทำเคลื่อนไหวกล้องให้เห็นตำแหน่งวัตถุนั้นสัมพันกันครับ

– การดอลลี่ การติดตามการเคลื่อนไหวเลยครับ

– การซูม เป็นการเปลี่ยนองค์ประกอบภาพครับ เหมือนเน้นความสนใจในจุดๆหนึ่ง

ขั้นที่8   เทคนิคการถ่าย

เอาเป็นว่าจับกล้องให้มั่นนะครับ อย่างผมก็จะจับ แบบกระชับกับตัวเลย คือแขนทั้งสองข้างแนบตัวเลยครับ

และก็ไม่แนะนำให้เคลื่อนไหวกล้องแบบรวดเร็วนะครับ กล้องจะปรับโฟกัสไม่ทัน ทำให้ภาพเบลอครับ

ขั้นที่9    หลังการผลิต ก็ต้องตัดต่อ เพิ่มเสียง เอ็ฟเฟก ความคมชัด ความเด่นชัดเรื่อง อักษรหนังสือ

ขั้นที่10   การตัดต่อ

อย่างแรกเลยครับจัดลำดับภาพ และเวลาให้ตรงและเหมาะสม อันไหนเกินยาวก็ให้ตัดทิ้งครับอย่าให้ขัดอารมณ์

อย่างสองคือจัดภาพให้เหมาะสม เนื้อหาและโครงเรื่องที่เราวางไว้ครับ

อย่างสามแก้ไขข้อบกพร่องครับ

อย่างสี่ เพิ่มเทคนิคให้ดูสวยงาม

อ้างอิง

http://samforkner.org/source/dirshortfilm.html

การกำกับภาพยนตร์ (Film Directing)


การกำกับภาพยนตร์ คือ การควบคุมงานศิลปะต่างๆ ของภาพยนตร์ให้ไปในทิศทาง (direction) ที่ผู้กำกับภาพยนตร์ต้องการ ผู้กำกับภาพยนตร์ (Director) คือ ผู้ที่ควบคุมส่วนประกอบทุกส่วนที่ปรากฏหน้ากล้องถ่ายภาพ เป็นผู้ถอดบทภาพยนตร์ให้ออกมาเป็นภาพ โดยประสานส่วนประกอบต่างๆ เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัวและมีศิลปะ ส่วนประกอบของภาพยนตร์ เช่น ผู้แสดง ภาพ ฉาก แสง เสียง ฯลฯ ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วสามารถทำให้ผู้ชมประทับใจ อีกทั้งเข้าใจแก่นเรื่อง (theme) หรือแนวความคิดหลักของเรื่องนั้นได้

ผู้กำกับภาพยนตร์จะต้องทำงานประสานกับบุคลากรในกองถ่ายแผนกต่างๆ เช่น ผู้กำกับภาพ ผู้กำกับฝ่ายศิลป์ ผู้จัดการกองถ่าย ฯลฯ เพื่อให้ช่วยสร้างภาพที่ฝันให้เป็นตามจินตนาการที่ตนเองต้องการในการทำงานก่อนการถ่ายทำ ผู้กำกับมีลำดับการทำงานดังนี้




เข้าใจบทอย่างแตกฉาน (ตีบทแตก) ผู้กำกับภาพยนตร์จะอ่านบทหลายๆ ครั้ง ตรงไหนที่ไม่เข้าใจก็ถามคนเขียนบท ต้องมีความรู้กว้างขวาง และลึกซึ้งต่องานที่ตนเองจะกำกับ เช่น ถ้าภาพยนตร์เรื่องนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับวัยรุ่น ก็ต้องหาหนังสือจิตวิทยาวัยรุ่นมาอ่าน หรือพูดคุยสัมภาษณ์วัยรุ่น ผู้กำกับภาพยนตร์ต้องรู้จังหวะของเรื่องว่าจะมีลีลาอย่างไร เห็นภาพในสมองแจ่มชัดสามารถที่จะจำรายละเอียดในบทได้เกือบทั้งหมด ทั้งนี้หากว่าทีมงานหรือนักแสดงถาม เขาจะให้คำตอบได้
วิเคราะห์ภูมิหลังตัวละคร ผู้กำกับภาพยนตร์ต้องเข้าใจตัวละครเสมือนเป็นญาติสนิท รู้ว่าเขาและเธอมีภูมิหลังอย่างไร นิสัยอย่างไร ต้องขุดลึกและรู้พฤติกรรมนั้นๆ ว่า ทำไมเขาจึงเป็นเช่นนั้น และกระทำสิ่งเหล่านั้นเพราะอะไร ถ้าเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นเขาจะทำอย่างไร เพื่อเมื่อเวลากำกับจะกำกับได้คล่องอีก ทั้งยังจะทำให้ตัวละครมีความน่าสนใจและสมจริง
แบ่งบทเป็นช่วงๆ (dramatic beat) ผู้กำกับภาพยนตร์จะต้องรู้ช่วงลีลาของหนังที่ภาพต่างๆ รวมกัน แล้วจะเกิดจังหวะลีลาเป็นช่วงๆ อย่างไร เช่น เด็กคนหนึ่งเก็บกระเป๋าสตางค์ที่ตกได้ (จังหวะที่ 1) เขางง หยิบขึ้นมาดู มองไปข้างหน้า (จังหวะที่ 2) เขาวิ่งไปคืนเจ้าขอ แต่เจ้าของขึ้นรถเมล์ไปแล้ว (จังหวะที่ 3) เขาขึ้นรถเมล์สายเดียวกันตามไป (จังหวะที่ 4) เขายิ้มเมื่อเห็นเจ้าของกระเป๋าลงจากรถ เขาลงตามไป (จังหวะที่ 5) เขาเรียก แล้วคืนกระเป๋าให้ (จังหวะที่ 6) เจ้าของเงินรับ เจ้าของกระเป๋าเดินไป สักพักหันกลับมาเรียก เขาตกใจ เจ้าของกระเป๋ายื่นนามบัตรให้บอกว่าถ้ามีอะไรจะให้ช่วยเหลือ ก็ให้ติดต่อ(จังหวะที่ 7) ผู้กำกับจะต้องนำบทมาแบ่งเป็นช่วงของฉากเป็นหลายๆ ช่วง เพื่อให้เกิดจังหวะและลีลาการเล่าเรื่อง
การกำหนดรูปแบบของงาน การกำหนดรูปแบบของงาน หมายถึง การเลือกที่จะสร้างบุคลิกลักษณะของภาพยนตร์ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร เรียกว่า การออกแบบ look ของภาพยนตร์ เช่น look ที่เป็นวัยรุ่นสมัยใหม่ ก็จะเป็นภาพแคบๆ ตัดต่อฉับไว ฉากและอุปกรณ์ประกอบฉากใช้สีสันฉูดฉาด แต่ถ้า look ออกมาเป็นเชิงที่เรียกว่า คลาสสิค ก็จะถ่ายเป็นภาพกว้างๆ จัดแสงเหมือนคัทยาวๆ โทนสีออกไปทางสีน้ำตาล (sepia) look ของภาพยนตร์แต่ละแนวจะแตกต่างกัน ภาพยนตร์แนวชีวิตก็จะใช้ Look ลักษณะหนึ่ง ในขณะที่แนวตลก แนวผี แนวฆาตกรรม แนววิทยาศาสตร์ก็จะอีกลักษณะ
กำหนดจังหวะ หมายถึง การกำหนดลีลาช่วงเดินเรื่องของภาพยนตร์ระดับความรู้สึกของงาน เช่น ภาพยนตร์ที่มีช่วงลีลาเร็วมาก ความรู้สึกของภาพจะรุนแรง แสง เสียง การใช้สีสันจะจัดจ้าน เข้มข้น ตรงกันข้ามกับภาพยนตร์ชีวิตรักจะเดินเรื่องช้าๆ ความรู้สึกของภาพอ่อนละมุนนุ่มนวล ฉากเครื่องแต่งกาย และอุปกรณ์ประกอบฉากมักใช้สีอ่อนๆ
ร่างผังการถ่ายและสตอรี่บอร์ด (floorplan and storyboard) ผู้กำกับภาพยนตร์จะต้องออกแบบร่างผังการถ่าย (floorplan) ลักษณะของผังการถ่ายเหมือนกับการมองดูจากเพดานว่า ตัวละครเข้าออกทางไหน ไปนั่งเก้าอี้ตัวใด โต๊ะตู้วางอย่างไร รวมถึงตำแหน่งของกล้องอยู่ตรงไหน เคลื่อนไหวกล้องอย่างไร การจัดทำผังการถ่าย (Floor Plan) จะทำให้ช่างภาพและฝ่ายจัดฉากทำงานสะดวกขึ้น จากนั้นก็ทำสตอรี่บอร์ด (storyboard) สตอรี่บอร์ดทำเพื่อให้เห็นขนาดภาพ องค์ประกอบของภาพ ความต่อเนื่องสัมพันธ์ระหว่างภาพหนึ่งไปยังอีกภาพหนึ่ง หากผู้กำกับไม่ถนัดในการเขียน ก็ร่างภาพหยาบๆ แล้วจ้างช่างศิลป์มาเขียนให้สตอรี่บอร์ดจะช่วยให้ทีมงาน และผู้กำกับทำงานสะดวกมองออกว่าจากภาพนี้แล้ว ภาพต่อไปจะเป็นอย่างไร
ทำรายการถ่าย (shotlist) รายการถ่าย คือ การกำหนดจำนวนภาพที่จะถ่ายเรียงลำดับจากช๊อตที่ 1 แล้วแตกช๊อตออกไปเป็น 1.1, 1.2, 1.3 ช๊อตที่ 2, 2.1, 2.2, 3, 4, 4.1 (ในการเปลี่ยนตำแหน่งของกล้องแต่ละครั้ง อาจจะมีหลายช๊อตก็ได้ คือ ถ่ายภาพขนาดต่างๆ กัน ใช้เลนส์หรือฟิลเตอร์ต่างกัน) รายการถ่ายต้องทำให้ละเอียด เพื่อใช้ในการถ่ายในแต่ละวัน เพื่อเป็นแนวทางของผู้กำกับและทีมงาน ภาพจะเป็นอย่างไร ถ่ายอย่างไร ตัวละครจะอยู่ตำแหน่งไหน หันหน้า ไปทางใด ทำอะไร เข้าออกภาพทางไหน ตัดภาพเมื่อไหร่ จะอธิบายให้ละเอียดในคราวนี้อีกที (หลังจากที่ ได้บอกไว้บ้างแล้ว) เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายจะปฏิบัติตามฝ่ายศิลป์ก็จะจัดฉากให้สวยงาม ฝ่ายกล้องก็จะจัดแสง จัดภาพ วัดระยะโฟกัส เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็จะเชิญผู้แสดงมาเข้ากล้อง มีการซ้อม 1 ครั้ง เพื่อให้ผู้แสดงรู้ว่าจะพูดอะไร ทำอะไร สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของกล้องอย่างไร การซ้อมครั้งแรกจะซ้อมให้เกิดความคล่องตัวของท่าทาง, การเดิน, หยิบจับสิ่งของต่างๆ ฝ่ายกล้องก็จะซ้อมก็จะซ้อมความเคลื่อนไหวของกล้องว่าจะกระตุกหรือไม่ จับโฟกัสตัวละครได้หรือไม่ การซ้อมครั้งที่ 2 จะซ้อมการแสดงอารมณ์ โดยทำเหมือนถ่ายจริงทุกอย่าง เพียงแต่ยังไม่เริ่มกดชัตเตอร์เดินฟิล์ม หากการซ้อมครั้งนี้มีความเข้าใจผิด เช่น ผู้แสดงตีความบทผิด ระดับอารมณ์ยังไม่ถึงใจ ก็จะมีการปรับแต่งเพิ่มเติมจนเป็นที่พอใจ เมื่อซ้อมได้ที่แล้ว ผู้ช่วยผู้กำกับจะสั่งคำว่า "พร้อม" "ผู้แสดงพร้อม" ผู้แสดงจะขานรับว่า "พร้อม" "เสียงพร้อม" ผู้บันทึกเสียงขานรับว่า "พร้อม" "กล้องพร้อม" ตากล้องจะขานรับว่า "พร้อม" ผู้กำกับภาพยนตร์จะกล่าวคำว่า "แอคชั่น" หรือ "เล่นได้" ผู้แสดงก็จะเล่นไป จนกระทั่ง "คัท" หรือ "ตัด" ทุกคนก็จะหยุด แล้วถ่ายครั้งที่ 2 (take 2) อีกครั้ง และถ่ายไปเรื่อยๆ จนพอใจ เมื่อได้ footage มาจนพอใจ ผู้กำกับภาพยนตร์ก็จะดูแลงานในขั้นการตัดต่อลำดับภาพ การแต่งดนตรีประกอบ การทำไตเติ้ล เอฟเฟคพิเศษ การบันทึกเสียง และการเลือกและแต่งสีภาพยนตร์ จนภาพยนตร์สำเร็จออกมา
อ้างอิง
http://samforkner.org/source/dirshortfilm.html

ข้อควรคำนึงในการหาสถานที่ถ่ายทำ

สถานที่ถ่ายทำที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติ 2 ประการ คือมีความเหมาะสมในแง่การจัดการ และมีคุณค่าทางศิลปะ
      ความเหมาะสมในการจัดการ ก็คือ


ใกล้ที่ทำงาน ถ้าเป็นได้สถานที่นั้นไม่ควรไกลจากที่ทำงาน เพื่อความสะดวกหากลืมสิ่งของที่จำเป็นจะประหยัดค่าเดินทาง
มีความหลากหลาย สถานที่นั้นหากไปที่เดียวแล้วถ่ายได้หลายฉาก จะเป็นสถานที่ถ่ายทำที่ดีมาก เราจะไม่ต้องเคลื่อนย้ายกองถ่ายบ่อยๆ เช่น ไปหมู่บ้านจัดสรรก็จะได้ร้านค้า บ้าน สวนสาธารณะ โรงเรียนอนุบาล สนามเด็กเล่น สนามกอล์ฟ คลับ ห้องอาหาร สระว่ายน้ำ ถนนในหมู่บ้าน ฯลฯ จะมีความสะดวกในการถ่ายทำ เวลาจะย้ายกองถ่ายก็ย้ายกองถ่ายใกล้ๆ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้มาก
มีความสะดวกในการถ่ายทำ คือ มีโทรศัพท์ติดต่อ มีที่จอดรถสะดวก ห้องน้ำมีหลายห้อง มีพื้นที่ว่างสำหรับแต่งกายและแต่งหน้า มีความสูงของเพดานสำหรับติดตั้งดวงไฟ มีพื้นที่สำหรับเก็บพักอุปกรณ์ถ่ายทำ มีพื้นที่สำหรับจัดส่วนรับประทานอาหารของกองถ่าย ไม่มีเจ้าถิ่นที่คอยรบกวน
ราคาไม่แพง สถานที่ควรเก็บค่าเช่าไม่แพงนัก หากไม่เสียเลยได้ยิ่งดี เพียงแต่เสียค่าแม่บ้านทำความสะอาด หรือช่วยค่าน้ำค่าไฟบ้างเท่านั้น เช่น บ้านเพื่อน หน่วยราชการ สถานที่เพื่อการกุศล สถานที่ทำการบริการ หากแลกเปลี่ยนกับการขึ้นไตเติลให้ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย การหาสถานที่ที่ขายบริการ เช่น ร้านอาหาร ไนท์คลับ โรงแรม สวนสนุก ควรหาที่ที่เปิดกิจกรรมใหม่ๆ จะไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะกิจการเหล่านั้นจะอยู่ในช่วงประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขาย
ไม่มีสิ่งที่จะเสียหายง่าย ควรหาสถานที่ถ่ายทำที่จะเสี่ยงต่อการชดใช้ของเสียหายน้อยที่สุด เช่น สถานที่ที่มีของราคาแพง เช่น พรม เครื่องลายคราม เครื่องแก้ว ไม้ประดับราคาสูง เพราะหากหาย หรือเสียหายขึ้นมาจะยุ่งยากต่อการชดใช้
เงียบสงบ ไม่มีเสียงรบกวนใดๆ ที่จะทำให้บันทึกเสียงไม่ได้ เช่น สถานที่มีเสียงเครื่องจักร เสียงอู่ซ่อมจักรยานยนต์ เสียงเด็กอ่อน บ้านที่เลี้ยงสุนัข ถนนที่มีรถเสียงดังวิ่งผ่าน โครงการก่อสร้าง ฯลฯ
มีความสะดวกในการจัดฉาก การจัดฉากภาพยนตร์ไม่เหมือนละครเวที มีการเปลี่ยนแปลงทุกวินาทีแล้วแต่สถานการณ์ บางครั้งต้องย้ายมุมกล้อง หรือผู้กำกับนึกภาพออกมาอย่างกระทันหัน สถานที่ที่ดีควรจะมีอุปกรณ์ประกอบฉากอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ที่จะหยิบยืม นำมาจัดฉากได้ง่าย เช่น โต๊ะ ต้นไม้ กระถาง รูปภาพ แจกัน เครื่องเรือนชุดสนามที่สามารถยกมาจัดแต่งเพิ่มเติมได้ทันที

      ความเหมาะสมในแง่ศิลปะ คือ

ถูกต้องตามข้อเท็จจริง สถานที่นั้นจะต้องสมจริงตรงตามบท ไม่มีจุดอ่อนที่จะจับผิดได้ สอดคล้องกับรูปแบบ และยุคสมัยตามท้องเรื่อง
ได้บรรยากาศและความรู้สึก สถานที่จะต้องมีบรรยากาศ มีโครงสีให้ความรู้สึกที่ดี เช่น ในบทบอกว่าชาวนากำลังมีความรัก ก็จะเป็นท้องนาเหลืองอร่าม น้ำเปี่ยมคลอง หรือในบทบอกว่านางเอกเดินเศร้าคิดถึงพระเอก ก็ควรจะเป็นฉากที่พื้นสีเทา (ลานดิน ลานซีเมนต์) มีเสาไฟฟ้าโดดเดี่ยว หรือมีต้นไม้แห้งใบโกร๋น หรือนางเอกอยู่ในภาวะอันตราย เช่น ทางเดินในซอกตึกแคบๆ ที่ผนังตึกบีบทำให้รู้สึกอึดอัด ดังนี้เป็นต้น โครงสีของสถานที่มีส่วนสร้างอารมณ์ความรู้สึกได้มาก สถานที่ที่มีโครงสีโทนใดโทนหนึ่ง เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ประกอบฉากก็จะต้องออกแบบสีให้มีศิลปะ เช่น นางเอกไปวัดผ่านทุ่งนาสีเขียวเหลือง เครื่องแต่งกายและร่ม อาจจะเป็นสีแดงสดใส เป็นต้น การออกแบบสีจะทำให้ภาพมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะโครงสีที่ให้อารมณ์เด่นชัด เช่น เทา ม่วง ให้อารมณ์เหงา , ชมพู เหลือง ฟ้า ให้อารมณ์สดใส
มีพื้นที่และหลืบสลับซับซ้อน สถานที่ถ่ายทำไม่ควรจะมีฉากหลังแบนที่ดูแล้วทึบตัน เช่น ถนน ตรอก ซอย ควรจะลึกสุดสายตา มุมตึกควรจะมีหลืบและซอกต่างๆ เพราะเมื่อจัดแสง ภาพจะเกิดน้ำหนักสวยงาม อีกทั้งระยะลึกจะทำให้เห็นมีสิ่งต่างๆ หลากหลาย เช่น ฉากตรอกซอยลึก เราจะได้ร้านค้า รถตุ๊กตุ๊ก กองขยะ ลังไม้ รถเข็น เด็กเล่นแบดมินตัน ซึ่งจะทำให้ภาพดูมีชีวิตชีวา
มีความหมายเชิงนัยนะ การหาสถานที่ถ่ายทำในบางครั้ง อาจจะหาสถานที่ที่มีความหมายเชิงนัยยะ หมายถึง สถานที่มีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นนัยของความรู้สึก เช่น โบสถ์ที่มีเงาไม้กางเขนทาบลงบนพื้น แล้วเราใช้สถานที่นั้นในฉากที่ตัวละครตายแล้วมีเงาพาดผ่าน ทุ่งดอกไม้สีชมพู เมื่อพระเอกนางเอกพบรักกัน หรือหน้าผาสูงที่ตัวละครทะเลาะกัน จะเกิดความรู้สึกหมิ่นเหม่เหมือนจะตกหน้าผา ได้ความรู้สึกของความสัมพันธ์ขาดสะบั้นลง หรือฉากที่มีพื้นกระเบื้องยางตารางหมากรุกดำและขาวก็จะเป็นความรู้สึกขัดแย้งกัน หรือฉากเด็กเล็กที่กำลังจะถูกลักพาตัว แล้วถูกอุ้มวิ่งผ่านสวนกระบองเพชร จะทำให้ได้อารมณ์ความรู้สึกของสถานที่เหล่านี้อยู่ที่การตีความของผู้กำกับ ที่จะเลือกสถานที่ได้ความรู้สึกและความหมายทางศิลปะ
อ้างอิง
http://samforkner.org/source/dirshortfilm.html

การหาสถานที่ถ่ายทำ (Location)


   การหาสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์มีขั้นตอนดังนี้

แยกงานสถานที่จากบทและรวมกลุ่มสถานที่ การเริ่มหาสถานที่ให้นำบทมาอ่านแล้วลำดับรายชื่อสถานที่เกิดขึ้นในบท จากนั้นก็มารวมกลุ่มกันโดยคำนึงถึงกลุ่มสถานที่ ที่อยู่ใกล้เคียงกัน เพื่อความสะดวก เช่น ฉากทะเล ภูเขา หมู่บ้าน ชาวประมง ร้านอาหารริมทะเล หรือบ้านไม้ ซอยแคบ ถนนลูกรัง หรือโรงภาพยนตร์ ซุปเปอร์มาเกต ร้านไอศกรีม ฯลฯ
ติดต่อสอบถาม เมื่อได้รายชื่อสถานที่แล้ว ให้ติดต่อสอบถามแหล่งต่างๆ เช่น จากเพื่อน ผู้ช่วยผู้กำกับกองถ่ายอื่น เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ตามสถานที่ต่างๆ ดูจากนิตยสารการท่องเที่ยว โปสการ์ด แผ่นพับ เพื่อให้ได้ข้อมูลขั้นต้น ไม่ใช่ออกหาสถานที่เลย เพราะจะประหยัดเวลา ค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่าอาหารได้มาก
บริหารการเดินทาง การออกหาสถานที่ถ่ายทำ หากเช่ารถแล้วควรเริ่มออกแต่เช้าตรู่ บุคคลที่ไปหาไม่ควรเกิน 2 คน คือ ฝ่ายธุรกิจหนึ่ง และผู้ช่วยฝ่ายศิลป์หนึ่ง ฝ่ายธุรกิจดูแลการจัดการ เช่น ระยะทาง ค่าเช่าที่พัก การติดต่อขออนุมัติ ส่วนฝ่ายศิลปะดูความสวยงามทางศิลปะที่สอดคล้องกับบท ใช้กล้องและฟิล์มราคาถูกถ่ายภาพมุมต่างๆ ที่เห็นเหมาะ บางสถานที่ขอภาพถ่ายที่เขามีอยู่แล้ว หรือขอแผ่นพับโฆษณาก็ได้ ในขณะเดียวกันร่างแผนที่และแผนผังพื้นที่มาด้วย
นำภาพถ่ายเข้าที่ประชุม นำภาพถ่ายแผ่นพับ แผนผัง และข้อมูลที่ได้มาเพื่อเข้าที่ประชุมและคัดเลือก
ดูสถานที่จริง เมื่อคัดเลือกสถานที่ขั้นต้นได้แล้ว ขั้นต่อไปผู้กำกับ ผู้กำกับภาพ และผู้กำกับฝ่ายศิลป์ จะเดินทางไปดูสถานที่จริง จะเพิ่มเติมดัดแปลงอะไร จะวางกล้องตรงไหนจะได้ปรึกษากับตอนนี้ เบอร์โทรศัพท์ แผนที่ วันเวลาเปิดปิด เงื่อนไขการเข้าสถานที่ก็ยืนยันความแน่นอนตอนนี้

อ้างอิง

http://samforkner.org/source/dirshortfilm.html

การคัดเลือกผู้แสดง (Casting)

การหาผู้แสดง มีแหล่งที่หาได้ดังนี้


ชมรมละครและการแสดงตามมหาวิทยาลัย ที่นี่จะเป็นศูนย์รวมของหนุ่มสาวหน้าตาดี มีความสนใจในการแสดงและมีความสามารถระดับหนึ่ง หากชมรมมีผลงานแสดงบนเวที เราก็จะเห็นความสามารถของนักแสดงจริงๆ หากไม่มีการแสดงก็อาจจะขอดูเทปบันทึกการแสดงครั้งก่อนๆ
บริษัทจัดหานายแบบและนางแบบ บริษัทเหล่านี้จะมีแฟ้มภาพถ่ายของนายแบบนางแบบ โดยมีภาพใบหน้า ภาพถ่ายด้านหน้า เต็มตัว ให้เลือกพร้อมบอกความสามารถพิเศษอื่นๆ เช่น เล่นฉากบู๊ตีลังกาได้ ร้องเพลงได้ เต้นรำได้ เป็นต้น
โรงเรียนการแสดงและภาพยนตร์ แผนกภาพยนตร์บางแห่งจะมีสาขาการแสดงการขับร้องนาฎศิลป์ จึงเป็นแหล่งที่รวมนักแสดงไว้มาก
ชมรมเชียร์ลีดเดอร์ เป็นอีกแห่งหนึ่งที่จะหานักแสดงได้ โดยเฉพาะคนที่มีรูปร่างดี
สนามกีฬาและสถานเพาะกาย สถานที่เหล่านี้จะมีเด็กหนุ่มรูปร่างดีและหน้าตาดี มีบุคลิกภาพและความคล่องตัวให้เลือกมาก
สถานบันเทิง เจ้าของกิจการบันเทิงมักจะหาเด็กสาว และเด็กหนุ่มหน้าตาดีไว้ทำงาน เช่น พนักงานเสิร์ฟในภัตตาคาร เจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ แผนกขาย แผนกบริการลูกค้า ฯลฯ
เดินหาในรูปแบบของแมวมอง การหาวิธีนี้คือการลงพื้นที่ตามแหล่งต่างๆ ที่มีผู้คนมากมาย เช่น สถานีขนส่ง ศูนย์การค้า การแสดงคอนเสิร์ต ป้ายรถเมล์ เห็นใครบุคลิกดีก็ติดต่อ ขอชื่อเบอร์โทรศัพท์ วิธีนี้บางครั้งจะได้ผู้แสดงดีๆ อย่างคาดไม่ถึง เวลาแสดงจะแลดูเป็นธรรมชาติ (เนื่องจากไม่ใช่นักแสดงอาชีพอย่างผู้ที่มาจากโมเดลลิ่ง เอเจนซี) เขาจะเป็นผู้ที่เล่นภาพยนตร์ของเราครั้งแรกจึงไม่ติดบท และมาดเก่าๆ ที่เคยแสดงมาก่อน
การประกาศหานักแสดง วิธีนี้ก็คือการจัดทำโปสเตอร์ไปติดที่ต่างๆ หรือประกาศทางหน้าหนังสือพิมพ์ บอกบุคลิกลักษณะที่ต้องการพร้อมสถานที่ติดต่อ
     จากข้อ 8 ข้อข้างต้นที่เป็นแหล่งหานักแสดง ก็เชิญมาทำการคัดเลือกโดยสถานที่คัดเลือกควรเป็นห้องที่เงียบสงบ ในห้องนั้นจะมีผู้กำกับ ผู้จัดการสร้าง และช่างภาพนิ่ง และวิดีโอ วิธีคัดเลือกก็คือ นำบทให้อ่านอาจจะเป็นบทที่เราจะถ่ายทำ หรือเป็นบทภาพยนตร์เก่าๆ ก็ได้ บรรยากาศในห้องต้องทำให้ผู้มาคัดเลือกผ่อนคลายสบายใจ สัมภาษณ์เขาอย่างเป็นกันเอง อย่าให้เขาอึดอัดและเป็นกังวล เราจึงจะเห็นความรู้สึกของเขาได้ชัดเจน ผู้มาคัดเลือกจะอ่านบทช้าๆ แล้วจะค่อยๆ เข้าถึงบททีละน้อยๆ ผู้กำกับจะสังเกตดูที่สีหน้าและแววตา จากนั้นให้ลองอ่านบทอีกครั้ง โดยตีความบทที่แตกต่างจากครั้งแรก ขั้นตอนนี้สำคัญมาก เราจะรู้ว่าผู้แสดงมีความสามารถมากน้อยเพียงใด ก็จากน้ำเสียงความรู้สึกและความเข้าใจในตัวละคร จากนั้นก็ให้คะแนนไว้พร้อม จดบันทึกข้อบกพร่องต่างๆ เช่น เสียงแหบ หรือดวงตากระพริบถี่ เป็นต้น ขั้นตอนต่อไป คือ ให้พูดเดี่ยว เนื้อหาอะไรก็ได้อยากเล่าเรื่องทางบ้าน เพื่อนสนิท ประสบการณ์ในอดีต ก็ให้พูดออกมา เราก็จะเห็นแววนักแสดงได้ในช่วงนี้ จากนั้นก็ใช้เทคนิคแสดงสดที่เรียกว่า improvisation โดยให้คิดเหตุการณ์เหตุการณ์หนึ่งขึ้นมา แล้วลองให้แสดงโดยอาจจะมีผู้แสดงร่วมด้วย เช่น ฉากแย่งแหวนทองที่เก็บได้ การแสดงสดนี้จะทำให้สามารถค้นหาแววนักแสดงได้เช่นกัน อีกเทคนิคหนึ่งก็คือ การให้เล่นละครใบ้ (pantomine) เช่น ลองให้ทำมือทำไม้ในการชงกาแฟโดยไม่มีถ้วยกาแฟ ซักผ้าตากผ้ากับอากาศเปล่าๆ การแสดงละครใบ้นี้ช่วยให้เราเห็นว่าผู้แสดงมีจินตนาการสูงต่ำเพียงใด ระหว่างที่คัดเลือกจะมีการถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอไว้ เพื่อนำมาพิจารณาอีกครั้งในที่ประชุม เมื่อได้ผู้แสดงแล้วก็อย่าลืมโทรศัพท์ปฏิเสธผู้ไม่ถูกเลือกอย่างสุภาพ เผื่อโอกาสในการคัดเลือกในเรื่องหน้า

อ้างอิง

http://samforkner.org/source/dirshortfilm.html